เรียน ACT/ติว ACT Science : 20 หัวข้อ ต้องรู้ก่อนลงสอบ ACT Science
แม้น้องๆ อาจเคยได้ยินว่าการทำข้อสอบ ACT Science ไม่ต้องมีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์เลย แต่นั่นไม่จริงนะ! จริง ๆ แล้วข้อสอบ ACT science มักจะมีประมาณ 4 คำถาม ต่อชุด ที่น้องๆ จะไม่สามารถตอบได้หากไม่มีพื้นฐานความรู้วิทยาศาสตร์มาก่อน นี่แหละคือความต่างระหว่างคะแนน 31 กับ 36 ในส่วนวิทยาศาสตร์! หากน้องๆ พลาด 4 คำถามนี้ไป คะแนน ACT Science จะเหลือ 31 ทันที!
.
ในบทความนี้ พี่จะพูดถึง 20 หัวข้อที่ข้อสอบ ACT Science จะไม่อธิบายให้น้องๆ ฟัง แต่คาดว่าน้องๆ จะรู้จากวิชาวิทยาศาสตร์ที่โรงเรียนแล้ว พี่ได้วิเคราะห์ข้อสอบ ACT Science หลายสิบชุดเพื่อหาหัวข้อที่น้องๆ ต้องรู้ พี่ๆ KPH น่าจะเป็นสถาบันเดียวที่ลงทุนหาข้อมูลนี้นะ! .
ถ้าน้องๆ เคยได้เกรดไม่ดีในวิชาวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน Blog นี้จะช่วยเตือนความจำเกี่ยวกับ concept สำคัญที่น้องๆ ต้องรู้
.
จะสอบ ACT science ต้องมี outside knowledge อะไรบ้าง? เพื่อที่จะตอบคำถามนี้ให้ดีที่สุด พี่จะเริ่มจากหัวข้อที่ทางผู้จัดทำ ACT ระบุไว้ว่าครอบคลุม ซึ่งผู้จัดทำ ACT บอกไว้ว่า "เนื้อหาของการทดสอบวิทยาศาสตร์ประกอบด้วยชีววิทยา เคมี ฟิสิกส์ และวิทยาศาสตร์โลก/อวกาศ (ตัวอย่างเช่น ธรณีวิทยา ดาราศาสตร์ และอุตุนิยมวิทยา)"
เรียน ACT Science น้องๆ จำเป็นต้องเป็นเก่งวิทยาศาสตร์มั้ย?
ไม่จำเป็นเลย และแม้แต่ผู้จัดทำ ACT ก็ยอมรับว่า "ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ขั้นสูงในวิชาพวกนี้ แต่จำเป็นต้องมีพื้นฐานความรู้ที่ได้จากวิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไปและเบื้องต้นเพื่อที่จะตอบคำถามบางข้อได้ การทดสอบจะเน้นทักษะการให้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์มากกว่าการจำเนื้อหาวิทยาศาสตร์ ทักษะคณิตศาสตร์ หรือความสามารถในการอ่าน" .
พูดอีกอย่างก็คือ สิ่งสำคัญคือน้องๆ เข้าใจหลักการคิดทางวิทยาศาสตร์และการให้เหตุผลเชิงตรรกะมากกว่าตัวเนื้อหาวิทยาศาสตร์เอง
ทำไมน้องๆ ถึงไม่ต้องมีความรู้ science มากมาย?
ในข้อสอบ ACT science เขาจะให้ข้อมูลส่วนใหญ่ที่น้องๆ ต้องใช้ในการตอบคำถามมาให้แล้ว พวกเขาจะอธิบายคำศัพท์ definition ส่วนใหญ่ไว้ในบทความมาให้ เพราะฉะนั้นน้องๆ ไม่ต้องกังวลว่า จะเจอคำศัพท์ scinece ยากๆ ที่ไม่เคยเจอมาก่อน คำไหนที่ไม่เคยเจอมาก่อน เค้าจะอธิบายมาให้ทันที
.
ยกตัวอย่างเช่น หากโจทย์พูดถึง "mean free time" เขาจะอธิบายความหมายเพิ่มเติมมาให้ในวงเล็บด้านหลังทันทีว่า (mean free time is the average time particles spend between one collision and the next) แบนี้เป็นต้น
เรียน ACT Science มี 20 หัวข้อ outside knowledge ต้องรู้
อย่างที่พี่ได้บอกไปก่อนหน้านี้ ว่าข้อสอบ ACT Science มักจะมีประมาณ 4 คำถามต่อชุด ที่น้องๆ จะไม่สามารถตอบได้หากไม่มีความรู้พื้นฐาน ในการศึกษาข้อสอบ ACT Science จากชุดเก่าๆ พี่ได้พบหัวข้อทั้งหมด 20 หัวข้อที่ครอบคลุมชีววิทยา เคมี ฟิสิกส์ และคณิตศาสตร์ (ใช่แล้ว! คณิตศาสตร์ด้วย) ที่น้องๆ ต้องรู้ นี่คือภาพรวม และพี่จะอธิบายรายละเอียดในแต่ละหัวข้อต่อไป
Biology
Cell Biology
DNA, RNA, and Ribosomes
Natural Selection
Greenhouse Gases
Photosynthesis and Respiration
Taxonomic Rank
Genetics
Trophic level
Symbiotic relationship
Chemistry
Basic Molecule Structure
Freezing/Boiling Point of Water in Celsius
pH Scale
Molar Mass Concepts
How Charges Interact
Phase Changes
Physics
Gravity
Density Formula
Density Rules
Kinetic vs Potential Energy
Math
Basic Math Skills
Biology
เรามาเริ่มดูเนื้อหาที่ออกข้อสอบ ACT Science ในส่วนของ Biology กันก่อน จากการศึกษาจากข้อสอบเก่าหลายสิบชุด นี่คือหัวข้อ Biology ที่ออกบ่อยที่สุด! มีทั้งหมด 9 หัวข้อด้วยกัน ถ้าพร้อมแล้ว เลื่อนลงไปดูเลย!
Topic 1 : Cell Biology
น้องๆ ต้องรู้เกี่ยวกับออร์แกเนลล์ในเซลล์บางประเภท (ส่วนต่างๆ ของเซลล์) หน้าที่ของพวกมัน และว่าพวกมันพบในเซลล์สัตว์หรือเซลล์พืช
Lysosomes (ไลโซโซม) ถือเอนไซม์ไว้ ไลโซโซมย่อยอาหารหรือทำลายเซลล์เมื่อมันตาย
Mitochondria (ไมโทคอนเดรีย) เป็นออร์แกเนลล์ที่ทำงานเหมือนระบบย่อยอาหาร โดยดูดซึมสารอาหาร ย่อยสลาย และสร้างโมเลกุลที่มีพลังงานสูง (ATP) สำหรับเซลล์
Cell nucleus (นิวเคลียสของเซลล์) ทำหน้าที่เหมือนสมองของเซลล์ มันมี DNA ของเซลล์ หรือข้อมูลทางพันธุกรรม ที่ใช้ในการสร้างโปรตีน (ดูหัวข้อ 2 ที่จะมาถึง) มันยังช่วยควบคุมการกิน การเคลื่อนไหว และการสืบพันธุ์
Chloroplasts (คลอโรพลาสต์) พบเฉพาะในเซลล์พืชและช่วยในกระบวนการสังเคราะห์แสง โดยการแปลงแสงให้เป็นพลังงาน (ซึ่งมีเฉพาะในพืช ไม่ใช่สัตว์)
Cell membrane (เยื่อหุ้มเซลล์) จะรักษาชิ้นส่วนทั้งหมดของเซลล์ไว้และทำหน้าที่เป็นอุปสรรคระหว่างเซลล์กับเซลล์อื่น
Topic 2 : DNA, RNA, Ribosomes, Protein Synthesis
DNA (ดีเอ็นเอ) มีข้อมูลทางพันธุกรรมที่จำเป็นสำหรับการสร้างโปรตีน (การสร้างโปรตีน) การสร้างโปรตีนเกี่ยวข้องกับ DNA, RNA, ไรโบโซม และโปรตีน โดย DNA ทำหน้าที่เหมือนแบบแปลนสำหรับการผลิตโปรตีน
Messenger RNA (ที่เรียกว่า mRNA) ทำการคัดลอกลำดับของ DNA ของยีนเฉพาะ กระบวนการนี้เรียกว่า transcription (การถอดรหัส) และเกิดขึ้นในนิวเคลียส
เมื่อ mRNA ถูกสร้างขึ้นแล้ว มันจะออกจากนิวเคลียสและเข้าสู่ไซโตซอลของเซลล์ ไรโบโซมใช้ mRNA เป็นแนวทางในการสร้างโปรตีนที่มีลำดับกรดอะมิโนเหมือนกับ DNA ต้นฉบับ กระบวนการผลิตโปรตีนจาก mRNA เรียกว่า translation (การแปล) ดังนั้น กระบวนการสร้างโปรตีนประกอบด้วยสองขั้นตอน: การถอดรหัสจาก DNA เป็น mRNA และการแปลจาก mRNA เป็นโปรตีน
Topic 3 : Natural Selection
การคัดเลือกโดยธรรมชาติ หรือที่เรียกว่า 'การอยู่รอดของผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด' ในสภาพแวดล้อมเฉพาะ ลักษณะที่ช่วยให้อาณาจักรสามารถสืบพันธุ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นจะกลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้น ในขณะที่ลักษณะที่ลดความสำเร็จในการสืบพันธุ์จะกลายเป็นเรื่องที่พบได้น้อยลง ตัวอย่างคลาสสิกของเรื่องนี้คือการเปลี่ยนแปลงสีของผีเสื้อผีเสื้อในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรม
ในอังกฤษ การเผาถ่านหินในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรมทำให้เปลือกไม้เปลี่ยนจากสีน้ำตาลอ่อนเป็นสีน้ำตาลเข้ม ผีเสื้อสามารถกลมกลืนได้อย่างสมบูรณ์และถูกซ่อนจากผู้ล่า อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการออกกฎหมายเกี่ยวกับอากาศสะอาด ต้นไม้ก็กลับคืนสู่สีที่สว่างขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ผีเสื้อสีเข้มถูกมองเห็นได้ง่ายโดยผู้ล่า ในขณะที่ผีเสื้อสีอ่อนยังคงถูกซ่อนจากสายตาและสามารถมีชีวิตอยู่ ดังนั้น เพราะ natural selection ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาผีเสื้อจึงเปลี่ยนจากสีเข้มเป็นสีอ่อน!
Topic 4 : Greenhouse Gases
ก๊าซเรือนกระจก คือก๊าซที่กักเก็บความร้อนในบรรยากาศ แสงอาทิตย์สามารถผ่านเข้ามาได้ในขณะที่มันมุ่งไปยังพื้นโลก แต่ก๊าซเรือนกระจกจะป้องกันไม่ให้ความร้อนที่แสงอาทิตย์ผลิตขึ้นที่พื้นผิวโลกหลุดออกจากบรรยากาศ นี่หมายความว่าความร้อนยังคงอยู่ใกล้โลก ทำให้มีอุณหภูมิสูงขึ้น กิจกรรมของมนุษย์ทำให้ปริมาณก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศเพิ่มขึ้นในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา และมันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
greenhouse gases มีอยู่ 6 ชนิดด้วยกัน:
Carbon dioxide (CO2)
Methane (CH4)
Nitrous oxide (N2O)
Ozone (O3)
Water Vapor (H2O)
Fluorinated gases (also known as chlorofluorocarbons or CFCs)
Topic 5: Photosysthesis and Respiration
การสังเคราะห์แสง คือกระบวนการที่พืชจับแสงอาทิตย์เพื่อผลิตอาหารให้กับตัวเอง ในระหว่างการสังเคราะห์แสง พืชจะดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ น้ำ และพลังงาน และมันจะผลิตกลูโคส (ซึ่งพืชใช้ในการดำรงชีวิต) และออกซิเจน (ซึ่งมนุษย์และสัตว์อื่น ๆ หายใจเข้าไป) น้องๆ ไม่จำเป็นต้องจำสูตรสำหรับการสังเคราะห์แสง แต่สามารถเห็นได้ในข้อสอบ ACT และเข้าใจมันล่วงหน้าจะมีประโยชน์ นี่คือลักษณะของมัน:
6 CO2 + 6 H2O + แสง → C6H12O6 + 6 O2
การหายใจ เป็นกระบวนการที่ตรงกันข้ามกับการสังเคราะห์แสง การหายใจคือเมื่อเซลล์ทำลายโมเลกุลเพื่อสร้างพลังงานที่พวกเขาสามารถใช้ได้ ในขณะที่มีเพียงพืชเท่านั้นที่ทำการสังเคราะห์แสง แต่ทั้งพืชและสัตว์จะทำการหายใจ ในกระบวนการหายใจ กลูโคสและออกซิเจนจะถูกแปลงเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ น้ำ และ ATP (สารเคมีที่ให้พลังงานแก่เซลล์) นี่คือสูตร:
C6H12O6 + 6 O2 → 6 CO2 + 6 H2O + ATP
Topic 6 : Taxonomic Rank
ระบบการจำแนกพันธุ์ (Taxonomy) คือวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการตั้งชื่อและการจัดประเภทสิ่งมีชีวิตทั้งหมด มันช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เห็นว่าต่างชนิดของสิ่งมีชีวิตนั้นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันแค่ไหนและลักษณะที่พวกเขาแบ่งปันมีอะไรบ้าง ระดับการจำแนกพันธุ์ (Taxonomic rank) คือเจ็ดระดับที่สิ่งมีชีวิตถูกจัดประเภท ให้รู้จักเจ็ดระดับการจำแนกพันธุ์ซึ่งมีดังนี้ (จากกว้างไปแคบ):
Kingdom (อาณาจักร)
Phylum (ไฟลัม)
Class (ชั้น)
Order (อันดับ)
Family (วงศ์)
Genus (สกุล)
Species (ชนิด)
ถ้าสองชนิดมีระดับการจำแนกพันธุ์เดียวกัน พวกมันก็จะแบ่งปันระดับการจำแนกพันธุ์ที่กว้างกว่าทั้งหมดที่อยู่เหนือระดับนั้น ดังนั้น ถ้าสองชนิดอยู่ในวงศ์เดียวกัน พวกมันก็จะอยู่ในอันดับ ชั้น ไฟลัม และอาณาจักรเดียวกันด้วย
Topic 7 : Genetics
ข้อมูลทางพันธุกรรมที่น้องๆ ต้องรู้สำหรับ ACT มุ่งเน้นไปที่ลักษณะที่ถูกถ่ายทอดไปยังลูกหลาน คำศัพท์ทางพันธุกรรมที่สำคัญคือ "allele" (อัลลีล) อัลลีลคือคู่ของยีนที่รับผิดชอบลักษณะเฉพาะ คู่ของอัลลีลสามารถประกอบด้วยยีนเด่นสองตัว ยีนด้อยสองตัว หรือยีนเด่นและด้อยหนึ่งตัว ยีนเด่นมักจะถูกแสดงเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ ส่วนยีนด้อยจะแสดงเป็นตัวพิมพ์เล็ก ดังนั้น คู่ของอัลลีลที่แสดงเป็น "Tt" จะมีหนึ่งอัลลีลเด่นและหนึ่งอัลลีลด้อย
Topic 8 : Trophic Level
ระดับโภชนาการ (Trophic level) คือระดับต่าง ๆ ในห่วงโซ่อาหารที่แสดงถึงตำแหน่งของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ โดยแบ่งออกเป็นหลายระดับตามความสัมพันธ์ในการกินกัน เริ่มจากระดับที่หนึ่งซึ่งคือผู้ผลิต (เช่น พืช) ที่ใช้แสงอาทิตย์ในการสร้างอาหาร ตามด้วยระดับที่สองคือผู้บริโภคระดับแรก (เช่น หญ้าและแมลงที่กินพืช) และผู้บริโภคระดับที่สอง (เช่น สัตว์กินแมลง) ซึ่งกินผู้บริโภคระดับแรก ในที่สุดระดับที่สูงสุดคือผู้บริโภคระดับที่สามหรือสัตว์กินเนื้อที่อยู่ด้านบนสุดของห่วงโซ่อาหาร การเข้าใจระดับโภชนาการช่วยให้เราเห็นว่าพลังงานไหลในระบบนิเวศและความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ เป็นอย่างไร
Autotroph (ออโตทรอฟ) คือสิ่งมีชีวิตที่สามารถสร้างอาหารของตนเองได้ โดยทั่วไปจะใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์หรือกระบวนการเคมีในการผลิตอาหารจากสารอนินทรีย์ เช่น พืชและสาหร่ายที่ทำการสังเคราะห์แสงเพื่อสร้างกลูโคส
Heterotroph (เฮเทอโรทรอฟ) คือสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถสร้างอาหารได้เอง ต้องได้รับสารอาหารจากสิ่งมีชีวิตอื่น โดยการกินพืชหรือสัตว์ ตัวอย่างเช่น สัตว์และมนุษย์ที่ต้องกินอาหารเพื่อให้ได้พลังงานและสารอาหาร
Producer (ผู้ผลิต) คือสิ่งมีชีวิตที่ผลิตอาหารจากกระบวนการสังเคราะห์แสงหรือเคมี โดยทั่วไปคือพืชหรือสาหร่าย ซึ่งอยู่ที่ฐานของห่วงโซ่อาหารและเป็นแหล่งพลังงานหลักสำหรับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ
Consumer (ผู้บริโภค) คือสิ่งมีชีวิตที่ได้รับพลังงานโดยการกินสิ่งมีชีวิตอื่น โดยแบ่งออกเป็นหลายประเภท ได้แก่
Primary consumer (ผู้บริโภคระดับแรก) ซึ่งเป็นสัตว์กินพืช เช่น กระต่ายและแมลง
Secondary consumer (ผู้บริโภคระดับที่สอง) ซึ่งเป็นสัตว์กินเนื้อที่กินผู้บริโภคระดับแรก เช่น นกกินแมลง
Tertiary consumer (ผู้บริโภคระดับที่สาม) ซึ่งเป็นสัตว์ที่อยู่ในระดับสูงสุดในห่วงโซ่อาหาร เช่น เสือหรือเหยี่ยว
Decomposer (ผู้ย่อยสลาย) คือสิ่งมีชีวิตที่ย่อยสลายสารอินทรีย์จากสิ่งมีชีวิตที่ตายแล้ว เช่น เชื้อราและแบคทีเรีย โดยทำให้สารอาหารกลับคืนสู่ดินและระบบนิเวศ
Topic 9 : Symbiotic Relationship
Mutualism (ความสัมพันธ์แบบประโยชน์ร่วมกัน): เป็นความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตสองชนิดที่ทั้งสองฝ่ายได้รับประโยชน์จากกันและกัน ตัวอย่างเช่น ผึ้งและดอกไม้ ผึ้งได้รับน้ำหวานจากดอกไม้ ในขณะที่ดอกไม้ได้รับการผสมเกสรจากผึ้ง
Commensalism (ความสัมพันธ์แบบประโยชน์ฝ่ายเดียว): เป็นความสัมพันธ์ที่หนึ่งฝ่ายได้รับประโยชน์ ขณะที่อีกฝ่ายไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ตัวอย่างเช่น มอสที่เติบโตบนต้นไม้ มอสได้รับที่อยู่อาศัยที่ดี แต่ต้นไม้ไม่ได้รับประโยชน์หรือเสียหายจากมอส
Parasitism (ความสัมพันธ์แบบปรสิต): เป็นความสัมพันธ์ที่หนึ่งฝ่าย (ปรสิต) ได้รับประโยชน์ ขณะที่อีกฝ่าย (โฮสต์) ได้รับความเสียหาย ตัวอย่างเช่น เห็บที่อาศัยอยู่บนสุนัข เห็บได้รับอาหารจากเลือดของสุนัข ขณะที่สุนัขอาจเจ็บป่วยจากการติดเชื้อที่เกิดจากเห็บ
Chemistry
ถัดมา เรามาดูฝั่ง Chemistry กันบ้าง ACT Science ออกเรื่องไหนบ้าง KPH รวบรวมมาให้แล้ว 6 topics ด้วยกัน
Topic 1 : โครงสร้างโมเลกุลพื้นฐาน
ACT science คาดหวังให้น้องๆ รู้จักโครงสร้างโมเลกุลพื้นฐานของน้ำตาล ไขมัน โปรตีน และกรดนิวคลีอิก
C6H12O6 คือโครงสร้างโมเลกุลพื้นฐานของน้ำตาล
ไขมันมีหลายประเภท เช่น ไขมันอิ่มตัว ไขมันไม่อิ่มตัว และไขมันทรานส์ (น้องๆ อาจเห็นสิ่งนี้บนฉลากโภชนาการ) การทดสอบไม่คาดหวังให้น้องๆ รู้จักโครงสร้างแต่ละอย่าง น้องๆ เพียงแค่ต้องรู้ว่าไขมันประกอบด้วย C (คาร์บอน), H (ไฮโดรเจน), และ O (ออกซิเจน) และสามารถแยกไขมันออกจากน้ำตาลได้ โดยไขมันมีจำนวน H เกือบสองเท่าของ C และมี O น้อยมาก ไขมันมีขนาดใหญ่กว่าน้ำตาลมาก ตัวอย่างเช่น ไขมันไม่อิ่มตัวประเภทไตรกลีเซอไรด์มีสูตรเคมีเป็น C55H98O6
โปรตีนประกอบด้วยกรดอะมิโน (ตามที่ได้กล่าวถึงในหัวข้อการสร้างโปรตีนข้างต้น โปรตีนจะถูกสร้างตามลำดับ DNA ต้นฉบับ) มีโครงสร้างโปรตีนหลายประเภท แต่โปรตีนทุกชนิดประกอบด้วย C, H, O และ N (ไนโตรเจน)
กรดนิวคลีอิกคือไบโอมอลิกุล สองประเภทของกรดนิวคลีอิกที่น้องๆ ได้พูดถึงไปแล้วคือ DNA และ RNA กรดนิวคลีอิกประกอบด้วยสามส่วน ได้แก่ น้ำตาล 5 คาร์บอน กลุ่มฟอสเฟต และเบสไนโตรเจน กรดนิวคลีอิกแตกต่างจากน้ำตาล ไขมัน และโปรตีน เพราะมี P (ฟอสฟอรัส) และ N นอกจาก C, H และ O
Topic 2: Boiling/Freezing Point of Water in Celsius
น้ำจะแข็งตัวที่ 0 องศาเซลเซียส และเดือดที่ 100 องศาเซลเซียส นี่คือข้อมูลที่น้องๆ ต้องรู้ จำตัวเลขเหล่านี้ให้ขึ้นใจ!
Topic 3: pH Scale
สเกล pH คือการวัดความเป็นกรดหรือเบสของสารหนึ่งสารใด แม้ว่าสเกล pH จะวัดกิจกรรมของไฮโดรเจนไอออนในสารหรือสารละลายอย่างเป็นทางการ แต่โดยทั่วไปจะประมาณเป็นความเข้มข้นของไฮโดรเจนไอออน
น้องๆ ต้องรู้เพียงแค่ว่า pH ต่ำกว่า 7 ถือว่ากรด, pH สูงกว่า 7 ถือว่าเบส, และ pH ที่ 7 ถือว่าเป็นกลาง
Topic 4: Molar Mass Concepts
Molar mass (มวลโมลาร์) คือมวลของสารหนึ่งสารใดในหน่วยกรัมต่อโมล (g/mol) มันแสดงให้เห็นถึงมวลของอะตอมหรือโมเลกุลหนึ่งโมล โดยการคำนวณมวลโมลาร์ของสารจะรวมมวลของทุกอะตอมในโมเลกุลนั้นเข้าด้วยกัน ซึ่งสามารถหาได้จากตารางธาตุ ตัวอย่างเช่น มวลโมลาร์ของน้ำ (H2O) จะคำนวณโดยรวมมวลของไฮโดรเจน (H) 2 อะตอมและออกซิเจน (O) 1 อะตอม:
ไฮโดรเจน: 1 g/mol × 2 = 2 g/mol
ออกซิเจน: 16 g/mol × 1 = 16 g/mol
ดังนั้น มวลโมลาร์ของน้ำจะเป็น 2 + 16 = 18 g/mol
Topic 5: How Charges Interact
อะตอมประกอบด้วยอนุภาคสามประเภท ได้แก่ โปรตอน อิเล็กตรอน และนิวตรอน โปรตอนมีประจุบวก อิเล็กตรอนมีประจุลบ และนิวตรอนไม่มีประจุ
ประจุที่เหมือนกันจะผลักกัน ในขณะที่ประจุที่ตรงข้ามจะดึงดูดกัน ตัวอย่างเช่น ประจุบวกสองประจุจะผลักกัน ในขณะที่ประจุบวกและประจุลบจะดึงดูดกัน
Topic 6 : Phase Changes / การเปลี่ยนสถานะ
น้องๆ อาจเคยได้ยินเกี่ยวกับจุดเยือกแข็งและจุดเดือดของน้ำในองศาเซลเซียสแล้ว แต่ยังมีสิ่งที่น้องๆ ต้องรู้เกี่ยวกับลำดับของการเปลี่ยนแปลงสถานะด้วย ด้านล่างจุดเยือกแข็ง สสารจะอยู่ในรูปของแข็ง ในขณะที่ใกล้จุดเยือกแข็ง สสารจะอยู่ในรูปของเหลว และเหนือจุดเดือด สสารจะเปลี่ยนเป็นก๊าซ (เกิดการระเหย)
วิธีที่ง่ายในการนึกถึงเรื่องนี้คือ น้ำ เมื่ออากาศเย็นมาก น้ำจะกลายเป็นน้ำแข็ง (แข็ง) เมื่ออุณหภูมิอุ่นขึ้น น้ำจะกลายเป็นของเหลว และเมื่อต้มน้ำ น้ำจะกลายเป็นไอน้ำ (ก๊าซ) ก๊าซมักมีความหนาแน่นน้อยกว่าของเหลว และของเหลวมักมีความหนาแน่นน้อยกว่าของแข็ง
Physics
มาถึงตาขอ Physics กันบ้าง ACT science ไม่ได้คาดหวังให้น้องๆ จำสูตรอะไรเยอะแยะ แค่เข้าใจ Concept หลักๆ สำคัญๆก็พอ ซึ่งจะมี topic อะไรบ้างๆ KPH จะพาไปดู มีทั้งหมด 4 topics ด้วยกัน
Topic 1 : Gravity
น้องๆ ต้องรู้ว่าแรงโน้มถ่วงเป็นแรงที่ดึงลงซึ่งกระทำต่อวัตถุ และแรงอื่นๆ (เช่น แรงจากสปริงหรือรอก) สามารถต่อต้านแรงโน้มถ่วงได้ เรื่องนี้จะปรากฏอยู่บ่อยครั้งในเนื้อหาที่แสดงการทดลองที่ใช้สปริงหรือลูกตุ้ม
Topic 2 : Density
ความหนาแน่นคือระดับความแน่นของสารหนึ่งสารใด เพื่อคำนวณความหนาแน่นของสาร น้องๆ ใช้สูตรนี้:
ความหนาแน่น = มวล/ปริมาตร
Topic 3: Density Rules/ กฎความหนาแน่น
น้องๆ ต้องรู้เกี่ยวกับความหนาแน่นมากกว่ารูปแบบสูตร ต้องรู้กฎความหนาแน่นหลัก ๆ ว่าวัตถุที่มีความหนาแน่นมากกว่าจะจมลง และวัตถุที่มีความหนาแน่นน้อยกว่าจะลอย วัตถุจะลอยได้เฉพาะเมื่อมันมีความหนาแน่นน้อยกว่าน้ำที่มันถูกใส่ลงไป
วิธีคิดง่ายๆ คือ ถ้าน้องๆ ขว้างก้อนหินลงไปในน้ำ จะเกิดอะไรขึ้น? มันจะจมลง เพราะก้อนหินมีความหนาแน่นมากกว่าน้ำ ซึ่งหมายความว่ามีน้ำหนักมากกว่าสำหรับปริมาตรเดียวกัน
แล้วถ้าน้องๆ ขว้างถ้วยโฟมลงในน้ำล่ะ? มันจะลอย—เพราะโฟมมีความหนาแน่นน้อยกว่าน้ำ สำหรับปริมาตรเดียวกัน โฟมมีน้ำหนักน้อยกว่าน้ำมาก
Topic 4: พลังงานจลน์ (Kinetic Energy) vs พลังงานศักย์ (Potential Eneger)
พลังงานคือความสามารถในการทำงาน พลังงานจลน์คือพลังงานที่เกิดจากการเคลื่อนที่ของวัตถุ ตัวอย่างเช่น เครื่องบินที่กำลังบิน นักสกีที่ไถลลงเนิน หรือรถที่กำลังวิ่งบนถนน ถ้าวัตถุไม่เคลื่อนที่ มันจะไม่มีพลังงานจลน์
พลังงานศักย์คือพลังงานที่เกิดจากตำแหน่งหรือการจัดวางของวัตถุ ตัวอย่างเช่น ยางรัดที่ถูกดึงจนยืดออก คนที่นั่งอยู่บนยอดสไลเดอร์ หรือแบตเตอรี่ที่มีประจุไฟฟ้า
เมื่อวัตถุที่หยุดนิ่งเริ่มเคลื่อนที่ พลังงานศักย์ของมันจะถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานจลน์
Math
ไม่ต้องกังวลไป! ข้อสอบ ACT Science ต้องการ Math skill แบบ พื้นฐานเท่านั้น แค่ บวก ลบ คูณ หาร เปอร์เซนต์ อัตราส่วน การเปลี่ยนหน่วย หาค่าเฉลี่ย เป็นต้น โดยส่วยใหญ่ ข้อสอบจะไม่ได้ถามหาคำตอบ แต่จะเน้นที่การถามหา "วิธีการ" หาคำตอบมากกว่า
และนี่คือทั้งหมด! ถ้าน้องๆ รู้จักแนวคิดเหล่านี้ พี่ๆ เชื่อว่า น้องๆ จะสามารถตอบคำถามวิทยาศาสตร์พื้นฐานในข้อสอบ ACT science ได้อย่างแน่นอน! ถ้าหากแนวคิดเหล่านี้บางเรื่องยังไม่คุ้นเคยสำหรับน้องๆ ลองทบทวนและปัดฝุ่นความรู้เก่าๆ นิดหน่อยหน่อย น้องๆ ไม่จำเป็นต้องรู้รายละเอียดมากไปกว่าที่อยู่ในบทความนี้ แต่ถ้าทำความเข้าใจหัวข้อวิทยาศาสตร์เพิ่มเติมก็ไม่เสียหายนะ!
.
พี่ๆ KPH รวบรวมค้นคว้ามาให้ขนาดนี้แล้ว step ถัดไปเป็นหน้าที่ของน้องๆ และนะ ที่จะต้องเอาไปทำการบ้านกันต่อ ท่องจำ และนำไปใช้ ฝึกฝนให้คล่องๆ พี่ๆ เชื่อว่า หากน้องๆ แม่นยำในหัวข้อเหล่านี้ละก็ ลงสอบ ACT science ครั้งถัดไป ไม่พลาดแน่นอน!
.
แต่ถ้าหากใครยังไม่มั่นใจ ต้องการให้พี่ๆ KPH ช่วยเสริมความมั่นใจอีกแรง ก็ทักมาปรึกษาการเรียนคอร์ส ACT Science ได้เลย ได้ที่
Line ID : @krupimhouse
Call : 064-954-7733
ดูรายละเอียดคอร์ส ACT เพิ่มเติมได้ที่ page นี้
Comments