College Admission 101 : Standardized Test (SAT/ACT)
Updated: Feb 15
พี่ๆ KPH มักจะได้รับคำถามเกี่ยวกับข้อสอบ Standardized Test เข้ามาเป็นจำนวนมาก จากน้องๆ และ ผู้ปกครอง ทั้ง SAT ทั้ง ACT ไหนจะข้อสอบตัวอื่นๆ อีก สอบตัวไหนดี ต้องเตรียมตัวอย่างไร วางแผนอย่างไรดี ไม่มีได้มั้ย Blog นี้พี่จะมาตอบคำถามทุกคำถามเกี่ยวกับ SAT/ACT ที่จะช่วยให้น้องเห็นภาพการสมัครเข้า TOP US University/IVY league ได้ดีขึ้นอีกเยอะ ดังนั้น เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ทั้งหมดที่น้องๆ กำลังจะได้อ่านด้านล่างนี้ คือ คำแนะนำจาก KPH!
How are SAT or ACT Scores used in the admission process and how important are they?
คะแนน SAT หรือ คะแนน ACT จะถูกนำมาใช้ในขั้นตอนการสมัครอย่างไร และ สำคัญแค่ไหน?
SAT/ACT เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในมักถูกใช้ในขั้นตอนการ admission เป้าหมายหลักของทั้ง SAT และ ACT คือ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความพร้อม และ ศักยภาพ ความเป็นเลิศด้านวิชาการ คำถามสำคัญคือ ในเมื่อมี Transcript ที่แสดงเกรด ผลการเรียนจากในโรงเรียนอยู่แล้ว ทำไมยังต้องมีคะแนนสอบเหล่านี้อีก? เพราะว่าในขณะที่แต่ละโรงเรียนมีวิธีการเรียนการสอน มีระบบเกรดที่แตกต่าง คะแนน SAT และ คะแนน ACT คือ การให้ทุกคนมาอยู่บนมาตรฐานเดียวกัน put everyone on the same scale!
ความสำคัญของคะแนน SAT/คะแนน ACT ใน application process แตกต่างกันออกไปตามสถาบัน โดยส่วนใหญ่แล้วมหาวิทยาลัยต่างๆ จะใช้คะแนนเหล่านี้เพิจารณา admission process แบบ “ภาพรวม” มากกว่า นั่นหมายถึง admission process ของน้อง จะเปรียบเสมือนกับ “เรื่องราว” โดยมีคะแนน SAT/ACT เป็นเพียงฉากหนึ่งเท่านั้น
หลายๆ สถาบัน ได้ปรับวิธีการพิจารณาการรับ candidate ใหม่ โดยปรับเป็น “Test-optional” เพื่อเปิดโอกาสให้ candidate ที่ด้อยโอกาส ไม่สามารถเข้าถึงการสอบ ได้เลือกว่าจะยื่นหรือไม่ก็ได้ อย่างไรก็ตามถึงแม้จะมีนโยบาย test-optional พี่ๆ KPH ก็ยังแนะนำให้น้อง ๆ อย่างน้อย มีคะแนนอย่างใดอย่างหนึ่งติดตัวไว้ ยังไงก็ได้เปรียบกว่า เพราะคะแนนที่สูง จะเป็น green flags เปิดโอกาสให้ admission committees say yes! ไม่ว่าน้องจะสมัครสถาบันไหนก็ตาม 3 ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือ GPA, ความ strong ของแต่ละวิชาใน Transcript, และ คะแนน Standardized test (Digital SAT และ ACT)
What is Test-Optional? / Test-optional คืออะไร?
พูดกันตรงๆ น้องสามารถเข้ามหาวิทยาลัย Top US University ได้ โดยที่ไม่ต้องมีคะแนน SAT/ACT หรือ คะแนน SAT/ACT ไม่สวย พูดง่ายๆ คือ Test – optional เปิดโอกาสให้น้องได้เลือกว่า จะยื่นคะแนน SAT/ACT หรือไม่ยื่นก็ได้ ถ้าน้องส่งคะแนน SAT/ACT คะแนนเหล่านี้ ก็จะถูกนำมาพิจารณาในขั้นตอน admission ด้วย (แต่ถ้าไม่ส่ง ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่พิจารณานะ คือ! พิจารณาแหละ แต่ไม่ส่งไม่เป็นไร ไม่ว่ากัน)
หลายๆ สถาบันใช้นโยบาย “Test-optional” เพราะ “ต้องการพิจารณา admission process ของน้อง แบบภาพรวมมากกว่า เน้นไปที่การหา candidate ที่เหมาะสมกับสถาบัน มากกว่าการตามหาคนที่ได้เกรดและคะแนน SAT/ACT สูงสุด” อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ลืมว่า สถาบันที่มีนโยบาย Test-optional ทำให้การแข่งขันสูงขึ้น การ say yes ยิ่งยากขึ้นไปอีก สถาบันหลายๆ แห่งอาจจะต้องการดู material อื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อประกอบการตัดสินใจ
ถ้าสถาบันที่เลือกเป็น Test-optional แล้วยังต้องสอบ SAT/ACT อยู่มั้ย?
พี่ๆ KPH ยังแนะนำอย่างรุนแรงงง ว่าสอบเถอะ! ยิ่งน้องได้คะแนนสูงเท่าไหร่ ยิ่งมีโอกาสทำให้ตัวเองโดดเด่นว่าคนอื่นมากขึ้นเท่านั้น! และยังมีอีกหลายสถาบันที่ต้องการคะแนน SAT/ACT ดังนั้น อย่าพึ่งปิดกั้นโอกาส มีคะแนน SAT/ACT ที่ดี เปิดทางเลือกให้น้องได้อีกเยอะ
Test – Optional VS Test – Blind
Test-Optional เปิดโอกาสให้น้องเลือกและตัดสินใจว่าต้องการยื่นคะแนน SAT/ACT หรือไม่ ถ้ายื่นคะแนน สถาบันก็จะนำคะแนนมาเป็นหนึ่งปัจจัยในการพิจารณา ในขณะที่ Test – Blind คือไม่พิจารณาคะแนน SAT/ACT เลย
แล้วถ้าอยากเข้าสถาบันที่เป็น Test – Optional ต้องทำอย่างไร?
มีสถาบันเยอะขึ้นเรื่อยๆ ที่ปรับมาใช้ Test – Optional อย่างไรก็ตาม Admission committee ยังต้องการที่จะรู้จักว่า candidate คือใคร และ ทำไมถึงต้องเลือก candidate คนนี้เข้ามา พูดกันสั้นๆ น้อง ๆ เอ๋ยยยย น้องต้องทำทุกวิถีทางที่จะทำให้ใบสมัครของน้องโดดเด่นที่สุด
เดี๋ยวเราจะคุยกันเรื่องการทำให้ admission ครั้งนี้โดดเด่น ให้ amazing กันมากขึ้น เจาะ detail ให้มากกว่านี้ทีหลัง แต่ตอนนี้พูดคร่าวๆ ก่อน ว่าอันดับแรก คือ research/หาข้อมูล! มันสำคัญมากๆ ว่าน้องต้องสามารถแสดงให้ committee เห็นว่าน้องเหมาะสม คู่ควรกับสถาบันนั้นๆ เพราะฉะนั้นหาข้อมูลสถาบัน ทำความรู้จักสถาบันให้ได้มากที่สุด สถาบันไหนมี program หรือ activities อะไร ที่น้องอยากเข้าร่วม แบบนี้ น้องจะสามารถหาสถาบันที่ใช่ ที่ตรงใจเรา ที่สอดคล้องกับ goal และ value ของน้องเอง เพราะถ้าน้องมีเป้าหมายที่ตรงกันกับสถาบันนั้น มันไม่ยากเลยที่ committee จะพิจารณาให้น้องคือคนที่ best fit!
อันดับสอง คือ น้องต้องเขียน College Essay และต้องมี Letters of Recommendation! นี่คือโอกาสทอง Make the most of this opportunity! ให้ admission committee ได้รู้จักตัวน้องมากขึ้น จากแหล่งข้อมูลที่สำคัญที่สุด คือ YOU! ตัวน้องเอง! และแหล่งข้อมูลที่ 2 คือคนใกล้ตัว! ไม่ว่าจะเป็น ครู coach หรือใครก็ตามที่คอย support น้องอยู่!
และสุดท้าย คือ คะแนน SAT/ACT เตรียมตัวสอบล่วงหน้า เพื่อให้น้องทำคะแนนได้ดีที่สุด ถ้าได้คะแนนสวย ประตูเปิดกว้าง ยื่นไปเลยทุกสถาบันที่สนใจ แต่ถ้าคะแนนไม่สวย ประตูแคบหน่อย เลือกสมัครสถาบันที่ Test – optional! (พี่ๆ ขอเน้นย้ำตรงนี้ ว่าหากน้องได้คะแนนไม่สวย ไม่ยื่นเลยจะดีกว่า!)
Which Test should I choose : SAT or ACT?
พี่ๆ ได้ยินคำถามนี้บ่อยมาก จากผู้ปกครองและนักเรียน ระหว่าง SAT และ ACT เลือกสอบตัวไหนดี หรือสอบทั้งสองอย่างเลย? ไม่สอบเลยได้มั้ย? จริงๆ สถาบันเกือบทั้งหมด รับคะแนนทั้งสองตัวนั่นแหละ ดังนั้น มันก็ขึ้นกับน้อง เลือกได้เลยว่าสะดวกกับตัวไหนมากกว่ากัน ซึ่งคำถามที่น้อง ๆ และ ผู้ปกครองถามตามมาก็คือ แล้วข้อสอบตัวไหนที่สามารถทำคะแนนสูงที่สุด โดยใช้ความพยายามน้อยที่สุด คำตอบคือ ลองลงมือทำเลย! หยิบ practice ACT test และ practice SAT test มาอย่างละชุด และลองทำ แล้วดูว่าถูกจริตกับข้อสอบตัวไหนมากกว่ากัน เข้าไป download ข้อสอบใน blog ของ KPH ได้เลย ยิ่ง ณ ตอนนี้ ข้อสอบ SAT และ ACT มีความคล้ายกันสูงมาก น้องๆ แทบจะสามารถเตรียมทีเดียว และลงสอบทั้งสองตัวได้เลยด้วยซ้ำ!
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อสอบ Digital SAT และดาวน์โหลดข้อสอบ เข้าไปอ่านไ้ด้ที่ Blog นี้
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อสอบ ACT และดาวน์โหลดข้อสอบ เข้าไปอ่านได้ที่ Blog นี้
Retesting options/ จะเข้า TOP US University สอบหลายครั้งได้หรือไม่?
“คะแนนทุกวิชาต้องมาจากรอบเดียวกันมั้ย?” นี่ก็เป็นอีกคำถามที่ถามกันเข้ามาเยอะมาก สำหรับ ACT เท่านั้น ที่ใช้ระบบ Superscore ความหมายคือ ACT จะส่งคะแนนที่สูงที่สุด ของแต่ละวิชา จากแต่ละรอบให้กับสถาบัน นั่นหมายความว่า น้องสามารถที่จะ retest เฉพาะวิชาใด วิชาหนึ่งได้ เช่นสอบรอบแรก ได้คะแนนทุกวิชาสูงหมด ยกเว้น science น้องสามารถสอบอีกครั้ง เพื่อ up เฉพาะคะแนน Science ได้ โดยไม่ต้องสอบใหม่ทุกวิชา แล้ว retest บ่อยๆ จะดูแย่มั้ย? ไม่! จะสอบกี่ครั้งก็ได้ ไม่มีผลเสียใดๆ
Should I take both SAT and ACT? สอบทั้งสองตัวเลยดีมั้ย?
คงไม่มีใครอยากทำข้อสอบมากกว่าที่จำเป็น จริงมั้ย? แต่ก็นั่นแหละ! admission committees บอกว่า “More information is always better!”
.
มันก็จะวกกลับมาที่คำพูดเดิม คือ “ยิ่งเราแสดงให้ admission committee เห็นว่าเรามีศักยภาพมาเท่าไหร่ ยิ่งเป็นการเพิ่มโอกาสให้กับตัวเองมากขึ้นเท่านั้น” โดยเฉพาะสถาบันที่การแข่งขันสูง ที่เปรียบเทียบ academic record ของนักเรียนที่มี potential หลายๆ คนพร้อมๆ กัน มันก็ตัดกันที่ใครมี potential กว่า! พี่ๆ KPH ยังยืนยันคำเดิมว่า ถ้าน้องไม่ได้เลือกสถาบันที่ Test – Blind การมีคะแนน SAT/ACT เอาไว้ จะมั่นใจได้ว่า Admission committees will find your application interested! อย่างไรก็ตาม ถ้าน้องรู้สึก ตึงเกินไป การ focus ที่ตัวใดตัวหนึ่ง ก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรเลย
.When should I take the SAT or ACT? ลงสอบครั้งแรกเมื่อไหร่ดี?
“ยิ่งเร็ว ยิ่งดี” มีเวลามาก มันดีกว่ามีเวลาน้อยอยู่แล้ว เนื่องจากคะแนน SAT/ACT เก็บไว้ได้ 2 ปี ดังนั้น พี่ๆ KPH แนะนำว่าช่วง Grade 11/ ม.5 คือช่วงที่กำลัง perfect เพื่อให้น้องได้มีเวลา up คะแนนเพิ่ม ในกรณีที่คะแนนไม่เป็นไปตามที่ตั้งเป้าไว้จากการสอบครั้งแรก มันไม่ผิดที่จะสอบหลายครั้ง ไม่ได้มีข้อจำกัดในส่วนนี้
อย่างไรก็ตาม ต้องวางแผนล่วงหน้า หากน้องต้องการลงสอบครั้งแรกตอน grade 11/ม.5 น้อง ๆ ควรเริ่มเตรียมตัวก่อนหน้านั้น พี่ๆ KPH แนะนำว่าวางแผนล่วงหน้าอย่างน้อย 3 – 6 เดือนก่อนจะลงสอบจริง
If I take either test more than once, which scores will colleges see? ถ้าสอบหลายครั้ง แล้วสถาบันจะพิจารณาคะแนน SAT/ACT อย่างไร?
เมื่อต้องเลือกว่าจะพิจารณาคะแนนอย่างไร สถาบันส่วนใหญ่ จะเลือกจาก 1 ใน 3 ตัวเลือกด้านล่างนี้
พิจารณาคะแนนจากทุกรอบ และจากทุกข้อสอบ ทั้ง SAT และ ACT : ในกรณีที่น้องอยากจะยื่นเข้าสถาบันที่พิจารณาคะแนนจากทุกรอบการสอบ น้องต้องยืนหนึ่งทุกครั้งที่ลงสอบ! ฝึกจนกว่าจะพร้อม และค่อยลง! เพราะสถาบันจะเห็นประวัติการสอบทั้งหมด
พิจารณาคะแนนรวมที่สูงสุด จากการสอบรอบใดรอบหนึ่ง : ในกรณีนี้ เบาใจลงมาหน่อย เพราะน้องเลือกให้ admission committee เห็นเฉพาะคะแนนที่ดีที่สุด
พิจารณาจากคะแนนแต่ละวิชาที่สูงที่สุด จากแต่ละรอบ เอามารวมกันเป็น superscore : หลายๆ สถาบันจะใช้วิธีนี้ ซึ่งมันดีมาก!
แต่ละสถาบัน ก็มีนโยบายต่างๆ กันไป ซึ่งจะบอกไว้ใน website ของสถาบันชัดเจน ถ้าน้องไม่มั่นใจว่าสถาบันนั้นมีวิธีการพิจารณาคะแนนอย่างไร ติดต่อสอบถามได้กับทางสถาบันนั้นโดยตรง เพราะการรู้ระบบการพิจารณาคะแนน จะทำให้น้องวางแผนการเตรียมตัวได้ง่ายขึ้นอีกเยอะ
What should I do if SAT or ACT scores wasn’t great? ถ้าคะแนนไม่สวย ทำอย่างไรดี?
ใจเย็นๆ ทุกปัญหามีทางแก้ คะแนนไม่สวยไม่ใช่จุดจบของการเข้า TOP U ลองดูวิธีการเหล่านี้
Retake the test : ในแต่ละปี ACT และ SAT เปิดสอบหลายรอบ ที่ test date ไม่ทับกันเลย! ดังนั้น โอกาสยังมีอีกมาก จนกว่าจะถึง deadline ยื่นคะแนน ยังมีโอกาสให้น้องได้ลองสอบใหม่ได้เสมอ
Look for Test – optional / Test – Blind schools : มีสถาบันมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่ใช้นโยบาย Test – optional ที่ลดความสำคัญของคะแนน SAT/ACT ลงไป นี่เป็นโอกาสให้น้องได้เลือกว่าจะยื่นคะแนนหรือไม่ ถ้าคะแนนไม่สวย น้องเลือกที่จะไม่ยื่นเลยก็ได้ Test – Blind ยิ่งดีเข้าไปอีก มีอีกหลายสถาบันที่ตอนนี้ ได้ตัดคะแนน SAT/ACT ออกจากขั้นตอน admission process แล้ว ดังนั้นไม่ต้องสอบเลยก็ยังได้
You are more than your SAT/ACT scores! : จงจำไว้! ว่า SAT/ACT เป็นเพียงชิ้นส่วนหนึ่งของ College application คะแนนเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องราวทั้งหมดของตัวน้อง ยังมี College Essay, Letter of recommendations, และ Extracurricular activities ที่จะแสดงตัวตนที่แท้จริง ที่จะทำให้น้องเป็น multi-layered candidate! เพราะฉะนั้น อย่าเศร้ากับคะแนน ออกไปเล่นซะ! ออกไปเล่นเปียโน ไปเตะบอลกับเพื่อน ไปต่อ lego กับน้อง ไปเล่นหมากกระดานกับพ่อ สิ่งที่น้องสนใจนอกห้องเรียน อาจจะกลายเป็นเชือกเส้นบางๆ ที่แยกน้องออกมาจาก ผู้สมัครคนอื่นๆได้
ดังนั้นอย่าให้ความสำคัญกับคะแนน SAT/ACT มากกว่าหรือน้อยกว่า สิ่งอื่นๆ ให้น้ำหนักกับทุกสิ่งเท่า ๆ กัน และถ้าหากน้องไม่สามารถทำคะแนนให้สวยขึ้นได้ อย่ากังวลไป น้องสามารถเปลี่ยนไป focus ในมุมอื่นที่น่าสนใจของตัวเองได้เสมอ
Do I need to take AP exams?/ควรสอบ Advanced Placement (AP) หรือไม่
สถาบันส่วนใหญ่ ไม่ได้ require ว่าต้องมีคะแนน Advanced Placement (AP) มายื่น แต่ก็อีกแหละ! มีไว้มันก็ทำให้เรากลายเป็นคนโดดเด่น AP courses คือ class ที่มีเนื้อหาระดับมหาวิทยาลัย ที่นำมาสอนในระดับ High School การสอบ AP จะจัดขึ้นช่วง May/June ของทุกปี ปีละ 1 ครั้งเท่านั้น คะแนนจะอยู่ในช่วง 1 – 5. ข้อสอบ AP จะผสมๆ กันไประหว่าง multiple choices กับ short-answer questions ใช้เวลาประมาน 2 – 3 ชั่วโมงต่อการสอบ 1 วิชา
ฟังดูยากมาก ทั้งที่ไม่จำเป็น! คะแนนเต็ม 5 เอง!….แต่! AP จะทำให้ Transcript ของน้อง strong ขึ้นมาก! คะแนน AP ใน transcript ของน้อง จะบอก admission officers ว่า น้องมีความตั้งใจ และพร้อมที่จะ challenge ตัวเองด้านวิชาการขนาดไหน (ยิ่งสำหรับสถาบันที่ใช้นโยบาย Test – optional ความ strong ของ transcript ยิ่งเป็นเรื่องสำคัญ)
น้องสามารถเลือกวิชาที่อยากสอบได้จากทั้งหมด 38 วิชา แต่ไม่ใช่ทุกๆ โรงเรียนจะมีสอนทั้ง 38 วิชานะ น้องๆ นักเรียนโรงเรียนนานาชาติ ลองไปดูก่อนว่าโรงเรียนของตัวเองเปิดสอนวิชาอะไรกันบ้าง และเลือกวิชาที่ตัวเองสนใจ ส่วนน้องๆ ที่ในโรงเรียนไม่มีสอนวิชา AP น้องๆ สามารถติดต่อโรงเรียนนานาชาติที่เปิดรับคนนอกได้โดยตรงเพื่อสมัครเรียน AP น้องจะได้รับ code จากทางโรงเรียนเพื่อนำไปใส่ในเว็บ College board เพื่อเริ่มเรียน และ สอบกับทางโรงเรียนนั้นๆ ได้
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการเรียนในโรงเรียน บวกกับกิจกรรม และการสอบ SAT/ACT ก็ไม่ง่าย การเพิ่ม AP เข้าไป อาจทำให้ overload ได้ ดังนั้นการวางแผนล่วงหน้า การบริหารเวลา จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อไม่ให้น้องกดดันและตึงเครียดเกินไป
หลังจากอ่าน Blog นี้แล้ว พี่ๆ KPH หวังว่าน้องจะเห็นภาพว่า SAT/ACT มีความสำคัญมากน้อยขนาดไหน ในการสมัครเข้า TOP US University และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า Blog นี้จะช่วยให้น้องวางแผนได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งพี่ๆรู้ดีว่าการเตรียมตัวสอบ standardized test ไม่ใช่เรื่องง่าย พี่ๆ KPH จึงออกแบบคอร์สเรียน SAT, ACT และ AP แบบ Online ที่จะช่วยให้การสอบครั้งนี้ ง่ายลงอีกเยอะ
ดูรายละเอียดคอร์สเรียน SAT ได้ที่ page นี้
ดูรายละเอียกคอร์สเรียน ACT ได้ที่ page นี้
ดูรายละเอียดคอร์สเรียน AP ได้ที่ page นี้
ติดต่อสอบถามรายละเอียดคอร์สเรียนได้ที่นี่
Call : 064-954-7733
Line OA : @krupimhouse
Comments